วิลล่า มูเซ่

เรือนราชพงศา


กลิ่นหอมของราชาวดี มะลิ พุดซ้อน และไม้ดอกนานาชนิดที่อบอวลอยู่นอกเรือนชานพร้อมหมู่มวลผีเสื้อที่แวะวนเวียนมาคอยดอมดม พร้อมแสงทองยามเย็นฉาบไล้ประกายระยิบระยับช่วยขับให้เสน่ห์ของ “เรือนราชพงศา” เรือนไม้สถาปัตยกรรมผสมผสานทรงปั้นหยา ที่ปลูกสร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในย่านชุมชนหลังวัดอนงคาราม ซึ่งถูกชะลอมาสะท้อนภาพชีวิตของชุมชนชาวสยามในอดีตให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เพราะเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ตัวเรือน สัมผัสแรกที่ทุกคนจะได้รับคือความสงบร่มเย็น สบายตา เรียบง่ายทว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยพื้นกระดานไม้สักแผ่นใหญ่สะท้อนความมันวาวอวดโฉมลายไม้ที่ผ่านการใช้งานมากว่าศตวรรษ ที่ทอดยาวไปจรดศาลาท่าน้ำหลังงาม สู่สระน้ำขนาดใหญ่ เคียงข้างน้ำตกใสสะอาด เรือขุดลำยาวที่ทอดตัวอยู่เคียงข้างศาลาท่าน้ำ พร้อมมวลหมู่ปลาน้อยใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ภายใต้น้ำใสสะอาด เสียงน้ำตกที่ไหลเอื่อย ๆ แผ่วเบา มอบความสุขในวันวานของผู้คน ให้ทุกท่านได้สัมผัสอย่างแท้จริง

ข้าวของเครื่องใช้ภายนอกบ้าน ทั้งชุดโต๊ะไม้รับแขกอย่างจีน เครื่องลายครามชุดย่อม แสดงถึงวิถีชีวิตเรียบง่าย สบาย ๆ ของผู้คนในยุคนั้น ทว่าเมื่อผ่านเข้าไปสู่ภายในเรือนก็จะพบกับชุดเครื่องเรือนไม้แกะสลักประดับมุกอย่างประณีต ลวดลายกระบวนมงคลจีนบนเตียงไม้แกะสลักขนาดใหญ่ คู่กับหีบไม้ลายรดน้ำ ลวดลายแกะสลักอย่างไทย บนพรมเปอร์เซียทอมือผืนใหญ่กลางเรือน ตู้หนังสือโบราณพร้อมหนังสือเก่าร่วมสมัยนานาชนิดจัดวางเป็นสง่า เคียงคู่ภาพวาดลายเส้นเครื่องมงคลราชบรรณาการที่ทางสยามส่งไปเจริญสัมพันธไมตรียังราชสำนักอังกฤษสมัยพระนางเจ้าวิคตอเรียที่จัดประดับตกแต่งโดยรอบและชุดโต๊ะเครื่องแป้งไม้ชิงชันอย่างฝรั่ง สะท้อนภาพสังคมพหุวัฒนธรรมของไทย ที่รู้จักเลือก รับ ปรับ ใช้ ดังพระราชวิสัยทัศน์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔ ผู้ทรงเปิดประตูกรุงรัตนโกสินทร์ให้กว้างขวางเพียงพอที่จะเรียนรู้โลกใหม่ โดยไม่ลืมรากเหง้า ซึ่งไม่สงสัยเลยว่า แนวคิดเหล่านี้ได้ซึมซับมาสู่ขุนนางไทยผู้เป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ในอดีตซึ่ง วิลล่า มูเซ่ ได้เล็งเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้และมีความตั้งใจที่จะรักษาบรรยากาศเหล่านั้นไว้อย่างครบถ้วน